บทความจากบอกอ มีอีกเรื่องที่อยากยกขึ้นมาให้พิจารณากันในหมู่สมาชิกนะครับ คือมีข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่า มีการใช้ “ ยายิงสลบช้าง” มาเป็นยาปลุกกำหนัด หรือ ปลุกเซ็กซ์ ในวันอาทิตย์ที่ 15 กค. 2544 และมีการให้ความสนใจในเรื่องนี้จาก นายกรัฐมนตรี ทำให้นักข่าวสนใจมาซักถามหาข่าวจากพวกเรา ในวันต่อๆมา ทั้งทางโทรทัศน์ และ หนังสือพิมพ์ เมื่อตรวจสอบในเนื้อข่าวแล้ว มีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะว่ายาที่ผู้ต้องหาใช้นั้นไม่ใช่ยาที่ใช้ในช้าง เช่น พบว่าเป็นยี่ห้อเคตามิน และคาลิปซอล ( นสพ.ไทยรัฐ หน้า 17 วันที่ 15 กค.2544 ) แต่เนื้อข่าวบอกว่า ผ.บช.ภ.1 ให้ข่าวว่าเป็นยาสลบยิงช้าง ในภายหลัง มีการแจ้งว่าเป็นยา” มิดาโซแลม “ ซึ่งก็ไม่มีการใช้ในช้างเช่นกัน ทั้งในประเทศไทย และ การสอบถามไปยังต่างประเทศ สรุปว่า หนังสือพิมพ์หรือแหล่งข่าว เข้าใจผิด By: หมอต้อม
• กรณีเช่นนี้ จะทำให้เราผู้ประกอบการบำบัดโรคช้างเรา ทำงานยากขึ้น หากมีความเชื่อที่ผิดอันนี้เกิดขึ้นมา
ได้แก่
1. ทำให้เราหาซื้อยายากขึ้น เช่น อาจเกิดกรณีต้องรายงานการใช้ Xylazine ทุกมิลลิกรัมเหมือน ketamine หรือทำให้เราหาซื้อยายากขึ้น
2. ทำให้เราต้องระวังคนขโมยยา จากที่เก็บ และ จากกระเป๋าเวลาที่เราออกปฏิบัติงานเกี่ยวกับช้าง หรือ มีการมาขอให้ให้ยาช้างเพื่อวัตถุประสงค์ในการปลุกกำหนัดช้าง
3. ทำให้เกิดการเพ่งเล็งจากสังคม ว่า การเริ่มใช้นั้นมาจาก กลุ่มผู้ที่มียาในครอบครองหรือไม่ และการที่มีคนทั่วไปใช้ยานี้ แหล่งที่มาของยา มาจากพวกเราหรือไม่ จนพวกเราอาจจะโดนสอบย้อนหลัง ในการใช้ยา
• เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกแก่ประชาชน กระผมขอเสนอให้พวกเราเคลื่อนไปในแนวทางเดียวกัน คือ
1) ชื่อยาที่หนังสือพิมพ์กล่าวอ้างมานั้น ไม่มีการใช้ในช้าง ทั้ง เคตามิน คาลิปซอล และ มิดาโซแลม
2) ยาที่ใช้ยิงสลบช้างที่ใช้กันอยู่ในประเทศไทยและต่างประเทศ ไม่มีฤทธิ์ หรือผลข้างเคียงที่จะปลุกกำหนัด ( แม้จะมีบางตัวที่เข้าอยู่ในกลุ่มยาเสพติดก็ตาม เช่น Etorphine หรือ Cafentanyl แต่ก็ไม่น่าจะให้ข้อมูลอันนี้ เพราะไม่ปลุกกำหนัด ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น และ อาจทำให้เราต้องทำงานมีขั้นตอนมากขึ้นโดยไม่จำเป็นด้วย หากมหาชนสนใจเรื่องนี้ เวลาที่เราจะใช้ หรือนำเข้า )
• ยายิงสลบช้างตัวอื่นๆ ที่ได้มีการเอ่ยชื่อไปแล้วนั้น เช่น Xylaxine, Etorphine ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่เคยมีการใช้ในการเสพเป็นยาเสพติด และมีอันตรายมากในการกดการหายใจ กดการเต้นของหัวใจ และ อาจทำให้ตายได้ง่าย (ควรงดเว้นการพูดรายละเอียด หรือเน้นเรื่องยาเหล่านี้ โดยไม่จำเป็น)
• [ข้อมูลเรื่องยาเสพติดที่ใช้ในการแพทย์และสัตวแพทย์ สามารถหาได้จาก อย. ที่ website www.fda.moph.go.th] นะครับ
• เรื่องนี้ ทำให้ผมคิดต่อไปอีกว่า ชมรมของเรา น่าจะจัดสัมมนา หรือ จัดทำเอกสาร ทำความเข้าใจกับนักข่าว สายสิ่งแวดล้อม หรือข่าวหน้าหนึ่งก็ตาม ในเรื่องต่างๆ ที่ฝ่ายข่าวไม่เข้าใจเรามาตลอด เช่น 1) เวลาสัตว์ตาย ทำไมต้องรีบผ่าซาก-รีบฝัง เหมือนรีบกลบเกลื่อนเรื่อง เช่นกรณีช้างจุ๋ม หรือ เสือหลวงตาบัว 2) ชื่อนายสัตวแพทย์ ที่ต่างกับนายแพทย์ 3) การทำงานเวลารักษาพยาบาลหรือผ่าซาก ทำไมไม่อนุญาตนักข่าวเข้าไปดูและถ่ายภาพ 4) หากมีคำถามในเรื่องที่เกี่ยวกับสัตว์ป่า จะหาข้อมูลได้ที่ไหน ที่ใคร - ในด้านไหนบ้าง เพื่อกระจายภาระ จากพี่หมอของเราเพียงสองสามท่านที่ต้องโดนถามตลอดเวลา เสียเวลาทำงาน
• ฉบับนี้ มีบทความเรื่อง " การสัตวแพทย์สัตว์ป่าและสัตว์สวนสัตว์ในประเทศสหรัฐอเมริกา" ที่ Dr.Michael Stoskopf กล่าวไว้ใน workshop ผู้สอนอายุรศาสตร์สัตว์ป่า ครั้งที่หนึ่ง ปี 2542 ลองอ่านดูนะครับ มีเรื่องที่น่าสนใจหลายประเด็น ได้แก่เรื่องกฎหมายที่ควบคุมสวนสัตว์ เพื่อให้มีมาตรฐาน สวัสดิภาพสัตว์มากขึ้น มีตำแหน่งนายสัตวแพทย์เป็นตัวชี้วัดตัวหนึ่ง หรือเรื่อง วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สมาชิกท่านใดอ่านแล้วมีความคิดเห็นอย่างไรก็เสนอประเด็นคุยมาได้นะครับ
Wednesday, December 12, 2007
บทความจากบอกอ
Posted by
Karn Lekagul
at
9:02 AM
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment